วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

สลดชะตากรรมสุนัข เหยื่อจานเด็ดในเวียดนาม

คดีจับกุมแก๊งค้าสุนัขข้ามชาติในจังหวัดนครพนม เป็นประเด็นข่าวชวนตะลึงมาแล้วอย่างน้อยสองครั้งในปีนี้

เพราะมีเหยื่อสุนัขรวมแล้วเกินพันตัว

ทั้งสองคดีมีชื่อชาวเวียดนามปรากฏอยู่ด้วย ตามที่ทราบกันว่า การเปิบสุนัขในเวียดนามนั้นกว้างขวางติดอันดับโลก

ทั้งถูกต่อต้านจากกลุ่มปกป้องสิทธิสัตว์

จากการเดินทางไปเวียดนาม ในทริปขององค์กรพิทักษ์สัตว์โลก (WSPA) ประจำภาคพื้นเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ที่เข้าไปช่วยเหลือสัตว์และคนที่ประสบภัยน้ำท่วมช่วงกลางปีนั้น ได้สอบถามคนในชุมชนที่กินสุนัข

ปฏิกิริยาของชาวบ้านนั้น "เฉยๆ" หรือไม่มีความรู้สึกอะไรกับการกินสุนัข สัตว์เลี้ยงที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์

"ตัวนี้แซบแล้วกินได้ ถ้าตัวเล็กๆ แบบลูกหมามันยังไม่อร่อยต้องรอให้โตก่อน แต่ถ้าไม่กินเองในบ้านจะขายก็ได้ หมาอายุ 2-3 ปี อยู่ที่ตัวละ 900,000 ดอง (ประมาณ 960 บาท) ส่วนตัวเล็กลงมาก็ราคาน้อยหน่อยขึ้นอยู่กับขนาดตัว ส่วนมากมักจะต้มกินกับผักพื้นบ้าน ตรงช่วงสะโพกและขานี่ยิ่งอร่อยต้มร้อนๆ กินกับน้ำจิ้มรสจัด เวลาฆ่าก็ปาดคอเหมือนกับสัตว์อื่นๆ นั่นแหละ" นางหลากี่คิม วัย 45 ปี ชาวบ้านฮกเกี้ยนในเขตชุมชนลูเคียม ทางภาคกลางตอนบนของเวียดนาม กล่าว
นางหลากี่คิม ชี้ให้ดูสุนัขเพศผู้สีดำที่นอนอยู่ใกล้ๆ อย่างไม่รู้ชะตากรรมในบริเวณบ้านที่เป็นร้านขายของชำ ก่อนแกะถุงผักใบเขียวคล้ายสะระแหน่ให้ดูว่าต้องกินคู่กับผักชนิดนี้

"จริงๆ จะซื้อกินก็ได้เพราะมีขายอยู่ทั่วไป ชิ้นหมากิโลฯ หนึ่งก็พอๆ กับเนื้อหมูอยู่ที่ราคา 60,000 ดอง (ราว 64 บาท)" นางหลากี่คิมกล่าวเสริม

สำหรับกระแสที่คนรักสัตว์ในหลายประเทศประณามการกระทำป่าเถื่อนต่อสุนัขนั้น นายลื้อ ตี้ลี่ หนุ่มนักข่าวชาวไทเวียด วัย 26 ปี กล่าวว่า ก็กินกันมานานแล้วเลยไม่รู้สึกผิดแปลกอะไร

ในขณะที่ผู้นับถือพุทธศาสนามักถามว่าการฆ่าสุนัขไม่ขัดต่อหลักทางศาสนาหรือ นายลื้อ ตี้ลี่ กล่าวว่า "จริงๆ แล้วชาวบ้านในเขตชายแดนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา เรานับถือแต่เจ้าที่และผีป่า จึงไม่เห็นว่าเป็นเรื่องขัดศีลธรรมอย่างศาสนาอื่นๆ ทั้งชนกลุ่มน้อยและชาวเวียดนามเองก็กินบ้าง แต่ไม่บ่อยครั้งถึงกับทุกวันทุกมื้อ เพราะส่วนใหญ่แล้วอาหารหลักจะเป็นเป็ดไก่ที่ทุกบ้านเลี้ยงไว้บริโภคกันเอง"

แม้ตลาดในจังหวัดวิน ซึ่งถือเป็นเมืองใหญ่ทางภาคตะวันออกของเวียดนาม จะไม่มีซากสุนัขแขวนขายเหมือนกับคำบอกเล่าของเหล่านักเดินทางหลายคนที่เล่าถึงประสบการณ์ว่า เคยเห็นแผงขายเนื้อหมาเปิดขายอย่างอิสระและมีทั่วไปในเวียดนาม

แต่ภาพหัวกะโหลกของสัตว์ขนาดเล็กที่ดูไปก็ไล่เลี่ยกับสุนัขกว่า 3-4 หัว ตามร้านขายข้าวต้มและเฝอริมถนนอย่างเกลื่อนกลาด ทำให้อดตั้งคำถามไม่ได้ว่า นี่เป็นเนื้อและกระดูกของสุนัขหรือไม่

เกิดคำถามว่า เวียดนามไม่ได้กินเนื้อสุนัขมากมายอย่างที่เราเข้าใจ หรือทางการกำลังรักษาภาพของประเทศที่ถูกรุมวิจารณ์อย่างหนักกันแน่

ทำตัวให้ “สวย” เพิ่มคะแนนรัก

อยากจะสวย แบบครบสูตร มันต้องสวยทั้งข้างนอกและข้างใน โดยเฉพาะความคิดและจิตใจที่สวยงามสำคัญนัก ถ้าคิดจะทำแต้มความรักให้พุ่งปรี๊ดแล้วล่ะก็ มันก็ต้องรู้จักปรับเปลี่ยนตัวเองกันหน่อยนะสาวๆ เพราะผู้ชายร้อยทั้งรอยน่ะ เค้าหลงความสวยจากภายในของผู้หญิงเราที่สุดเลยเชียว ที่สำคัญ ยังช่วยให้เรทติ้งความรักแรงดีไม่มีตกแบบระยะยาวอีกด้วยนะ

1.มีอารมณ์ขัน รู้หรือเปล่าว่าสาวที่ชอบทำหน้าบูดทั้งวันน่ะ ดูไม่มีเสน่ห์ขนาดไหน เปลี่ยนแปลงตัวเป็นสาวอารมณ์ดี มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นโลโก้ประจำตัวดูบ้างก็ดีนะ เพราะมีอารมณ์ขันบ่งบอกถึงการเป็นคนมีสุขภาพจิตที่ดีแถมยังมองโลกในแง่ดีอีกต่างหาก

2.พูดจาไพเราะ ไม่ได้หมายความว่าต้องพูดจาคะขาตลอเวลา แต่การพูดจาให่น่าฟัง ไม่ใช่พูดคำสบถคำ พูดจาแบบมีมารยาทมีกาลเทศะนั้น สำคัญกว่า ถ้าเราเป็นสาวช่างเม้าท์ เก็บเอาไว้เม้าท์กับกลุ่มเพื่อนกันเองดีกว่า อย่าลืมว่าผู้ชายไม่ชอบผู้หญิงที่นินทาคนอื่นหรอกนะ

3.มีเหตุผล หยุดทำตัวเป็นสาวขี้งอนและเอาแต่ใจตัวเองได้แล้ว การรู้จักคิด และชั่งน้ำหนักถูกผิดต่างหากที่ จะช่วยให้เราเป็นผู้หญิงที่น่าเข้าใกล้ (เพราะดูมีสมองกว่าเป็นไหน ๆ) ไม่ว่าหนุ่มไหนก็ยอมสยบแน่นอน

4.รู้จักเป็นผู้ฟัง รู้จักรับฟังหวานใจเสียบ้าง ในยามที่เขาต้องการการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือระบายความในใจ แม้ว่าเรื่องราวนั้นๆ อาจจะไม่น่าสนใจหรือ ขาดสีสันไปก็เถอะ แค่เขาเห็นว่าเราพยายามที่จะรับฟังเขาด้วยความเข้าใจแค่นี้เขาก็รักตายแล้ว
5.ถามไถ่ด้วยความห่วงใย มั่นเติมเต็มความห่วงใยอย่างสม่ำเสมอ ด้วยคำถามธรรมดาๆ ที่แฝงไวด้วยความเอาใจใส่ เช่น ทานข้าวหรือยัง, วันนี้เป็นยังไงบ้าง เรียน/ทำงานเหนื่อยไหม ให้เขาได้รู้ว่าเราสนใจความเป็นไปของเขา แล้วรับประกันได้เลยว่าเขาจะหันมาสนใจเรามากขึ้นเหมือนกันเชียวล่ะ

6.อย่าหักศอกตอนกลับ เป็นแฟนกันมันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง แต่เรื่องร้ายแรงแค่ไหนก็อย่าให้วิธีสวนกลับด้วยคำพูดเชือดเฉือนจิตใจเป็นอันขาด ลองเคลียร์ปัญหา ด้วยความใจเย็น และมีสติรับรองรักนี้ไม่มีขาดสะบั้น

7.โปรดทราบ อารมณ์บ่จอย ไม่ว่าจะหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรก็ตาม รีบบอกให้หวานใจได้รู้ไว้ก่อนจะดีกว่า เพราะจะได้เป็นวัคซีนป้องกันการทะเลาะเบาะแว้ง แถมยังเรียกคะแนนความเห็นใจได้อีกโขเลยเชียวนะ

8.ช่างเอาอกเอาใจหนุ่มๆ ไปไหนไม่รอดหรอก ถ้าแฟนของเขาเป็นสาวน้อยช่างเอาอกเอาใจ ไม่ว่าจะด้วยคำพูดดีๆ หรือการะทำที่น่ารัก อย่างเช่น ซื้อขนมของโปรดหรือหนังสือที่เขาชอบมาฝาก เพราะฉะนั้นอย่ามัวแต่ให้เขาเอาใจอยู่ฝ่ายเดียวล่ะ

9.ให้เขาเป็นผู้นำ ไม่ว่าเราจะเกิดมาเป็นหญิงมั่นปานใด แต่สาวน้อยแสนฉลาดนั้น จะรู้ดีว่าการทำตัวให้ดูไร้เดียงสาเสียบ้างก็จะช่วยให้หนุ่มๆ เกิดความเอ็นดูเรามากขึ้น ปล่อยให้เขาเป็นผู้นำ แล้วทำตัวเป็นผู้ตามที่น่ารัก เพราะหนุ่มๆ น่ะจะรู้สึกดีเป็นที่สุด ถ้าเราทำให้เขารู้ว่าเขามีความสำคัญกับเราแค่ไหน

10.แฟนฉันน่ารักที่สุด บอกเขาไปเถอะว่า เขาน่ะน่ารักและน่าชิดใกล้สำหรับเรามากแค่ไหน ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์มหรอก เพราะคำปราบปลื้มเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้แหละ ที่จะช่วยกระตุ้นให้ความรัก ที่ราบเรียบกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง (แต่อย่าบ่อยมาก เพราะเขาอาจเหลิงได้)

วิธีกระชากใจหนุ่มให้อยู่หมัด ทำตัวให้น่ารัก แล้วเขาจะอยู่กับเรา ไม่มีทางไปไหนแน่นอน

10 สิ่งที่หนุ่มปิ๊งสาวใน10 วินาที

เวลาออกเดทกับผุ้ชาย เคยสงสัยมั้ยคะว่า ผู้ชาย? เขาคิด อย่างไรเกี่ยวกับตัวเราบ้างนะ และนี่เป็นอีก 10 อย่างที่ผู้ชายมักมองเห็น และใช้ประเมินตัวตนที่แม้ของหญิงคนนั้นภายใน 10 วินาทีแรกที่เจอกัน

1. ความมั่นใจ
ผู้ชายส่วนใหญ่มักมองหาความมั่นใจในตัวผู้หญิงเป็นอันดับแรก ซึ่งสังเกตได้จากการทักทาย น้ำเสียง และการสบตา หากคุณสามารถพูดคุยได้อย่างเป็นธรรมชาติก็ถือว่าชนะใจเขาไปเกือบครึ่งแล้วละค่ะ

2. ความเพอร์เฟ็กต์
ผู้หญิงที่ดูดีไปซะทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หรือแม้แต่กระทั่งเล็บเท้าที่ถูกแต่งแต้มมาอย่างกิ๊บเก๋ มีสไตล์ มักทำให้ผู้ชายคิดว่า เธอดูเพอร์เฟ็กต์เกินไปหรือดูเชี่ยวเกินไป ซึ่งอาจหมายความรวมไปถึงเจ้าชู้มากเกินไปนั่นเองค่ะ

3. ความเซ็กซี่
แน่นอน ผู้ชายมักชอบมองผู้หญิงที่ความเซ็กซี่อยู่แล้ว แต่ความเซ็กซี่ก็ไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาหรือเสื้อผ้าเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันรวมไปถึงกิริยาท่าทาง น้ำเสียง และการใช้สายตาด้วยต่างหากล่ะ ถึงแม้ว่าคุณเกิดมาหน้าตาไม่สะสวยอย่างอั้ม-พัชราภา แต่หากฉลาดที่จะแสดงออก อย่างเช่น แทนที่จะทักทายเฉยๆ ก็ลองสบตาสักครู่ พร้อมกับแย้มริมฝีปากนิดๆ ก็ทำให้คุณ กลายเป็นสาวที่น่าค้นหาได้เลยนะคะ

4. โสดหรือเปล่า
ผู้ชายส่วนใหญ่มักจะแอบสังเกตว่า คนที่ปลื้มอยู่นั้นมีเจ้าของหรือยัง ซึ่งมองได้จาก หากมีชายหน้าตาดี เดินผ่านมา หญิงที่มีแฟนอยู่แล้วมักจะทำได้แค่มองเพียงแวบเดียว แต่ถ้ายังโสดอยู่ละก็ อาจถึงขั้นหันไปทั้งตัวได้เลยนะ

5. นิสัยชอบชิงดีชิงเด่น
ในกรณีที่คุณกำลังดินเนอร์กับชายหนุ่มอยู่นั้น เผอิญมีหญิงไม่ทราบที่มาเดินเข้ามาทักเขาเฉยเลย แถมยังทำมึนไม่เห็นคุณอยู่ในสายตาอีกด้วย ถ้าหากคุณเกิดโวยวายและมองอย่างเกรี้ยวกราดละก็ เขาคงไม่แฮปปี้แน่ๆ แต่ถ้าคุณทำสุขุมและนิ่งเฉย นั่นแหละจะสร้างความประทับใจให้กับเขาอย่างไม่รู้ลืมเลยละ

6. สายตาจ้องจับผิด
เมื่อคุณถูกแนะนำให้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่ง อย่า! ใช้สายตาเพื่อสแกนเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเชียวนะคะ เพราะผู้ชายคงจะไม่ชอบแน่ หากโดนจับจ้องด้วยสายตาแบบนี้

7. ความ Friendly
ผู้ชายส่วนมากมักมองหาความเป็นมิตร ความเรียบง่ายๆ สบายๆ และมีอารมณ์ขันในตัวหญิงสาว เพราะเขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดเมื่อต้องออกเดทกับคุณไงล่ะ

8. รูปร่าง
รูปลักษณ์ภายนอกก็เป็นสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าหุ่นคุณจะไม่เซ็กซี่อย่างน้องแตงโม หรือหน้าตาไม่น่ารักถึงขั้นน้องมด หากแต่มีความมั่นใจในรูปร่างของตัวเองแล้ว บุคลิกที่แสดงออกมาก็จะดูดีไปด้วย แถมยังช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับตัวคุณแบบไม่รู้ตัวอีกด้วยนะ

9. จู้จี้ขี้บ่น
ผู้ชายมักจะสังเกตผู้หญิงว่าจู้จี้ขี้บ่นหรือไม่จากการดูว่าคุณชอบขอเปลี่ยนเก้าอี้บ่อยๆ หรือเปล่า หรือชอบเล่าว่าวันนี้เจอปัญหาอะไรมาบ้าง ทั้งๆ ที่มันเป็นแค่เดทแรกระหว่างเขากับคุณ!

10. กำลังต้องการใครสักคน
เวลาที่เจอผู้ชายในสเปคที่ทั้งหล่อ เท่ และรวยสุดๆ หากคุณเผลอแสดงอาการปลื้มจนเวอร์ออกไปแล้ว อาจทำให้เขารู้ว่า คุณน่ะคงจะเพิ่งผ่านการ อกหัก มาหมาดๆ และกำลังมองหาเสาหลักอันใหม่อยู่แน่ๆ

น้ำตาลทำให้เสพติดได้

นักวิทยาศาสตร์บอกเตือนว่า ถ้าหากกินน้ำตาลมาก อาจจะทำให้ เกิดเสพติด และเป็นอันตรายถึงแก่

ชีวิตเหมือนกับยาเสพติดได้ เนื่อง จากได้หลักฐานว่าหนูที่ทดลองให้ กินน้ำตาลมากๆ อาจทำให้สมองวิปลาส เหมือนกับผู้ติดยาเสพติด


นักประสาทวิทยาของสถาบันประสาทวิทยาปรินซ์ตัน ของสหรัฐฯแจ้งว่า หนูที่โดนถูกให้กินน้ำตาลเมื่อยามหิวๆ มาก จะมีอาการอย่างที่เรียกได้ว่า เมาน้ำตาล และมันสมองจะแปรเปลี่ยนไป เหมือนเกิดจากสิ่งเสพติด เช่น โคเคน มอร์ฟีน และนิโคติน “การอยากยาและเกิดเป็นซ้ำๆ เป็นอาการสำคัญของการเสพติด ซึ่งแสดงให้เห็นในหนูที่ถูกจับให้กินน้ำตาลมากๆ”

การทำร้ายกระดูกสันหลัง

ระดูกสันหลัง มีความสำคัญต่อบุคลิกภาพ วันนี้เราจึงนำวิธีการที่ทำร้ายกระดูกสันหลังมาบอกกัน...



การนั่งไขว่ห้าง จะทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูกคด

การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบัก และหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบนค่อมและงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มี
ผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือชาได้

การนั่งหลังงอ หลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนาน ๆ เป็นชั่วโมง จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค มี
อาการเมื่อยล้า ปวด และมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา

การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัว

การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้องควรลงน้ำหนักที่ขาทั้ง 2 ข้างเท่า ๆ กัน โดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพกจะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย

การยืนแอ่นพุง/หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย เพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่างไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง

การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง

การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้ง 2 ข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอด เพราะจะทำให้ต้องทำงานหนักอยู่เพียงซีกเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้

การหิ้วของหนักด้วยนิ้วบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ

การนอนขดตัว/นอนตัวเอียง ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างก่ายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

เพื่อนๆทราบถึงสาเหตุแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้นะคะ แล้วดูแลรักษาอยู่เสมอนะคะ จะได้มีบุคลิกที่ดีอยู่เสมอ

ดื่มเหล้าอย่างไร ไม่เมาค้าง

นช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ หลายคนดื่มฉลองหนักไปหน่อย จนเกิดอาการมึนเมา อาเจียน วิงเวียนศีรษะ บางคนเมาหนัก จะเอนกายลงนอนทีก็สุดแสนทรมาน ถึงขั้นต้องนั่งหลับยันสว่างก็มี แถมตื่นนอนขึ้นมา อาการเมาค้างก็ยังตามมาหลอกหลอนอีก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า อาการเมาค้างเกิดจากภาวะที่ร่างกายขาดน้ำมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันอาการเมาค้างที่อาจจะเกิดขึ้นภายหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีข้อแนะนำนักดื่มทั้งหลาย ว่า ไม่ควรจะปล่อยให้ท้องว่าง ควรจะรับประทานอะไรรองท้องให้อิ่มก่อน เพราะการปล่อยให้ท้องว่างนั้น จะสามารถดูดซับแอลกอฮอล์ได้เป็นอย่างดี

โดยอาหารที่ควรรับประทานก่อนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ อาหารประเภทโปรตีนทั้งหลายแหล่ เช่น ไก่ หรือ ไข่ เนื่องจากอาหารประเภทโปรตีนจะมีสารที่เรียกว่า "ซิสเทอีน" ซึ่งสารตัวนี้จะมีฤทธิ์ต้านอาการเมาค้างได้ดี ส่วนวิธีการปรุงอาหาร อาจจะนำมาทำเป็นเมนูง่าย ๆ เช่น ไข่ตุ๋น หรือ ซุปไก่ ไว้ซดน้ำ ก็จะทำให้ร่างกายได้รับน้ำเพิ่มขึ้นด้วย

นอกจากนี้ก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นักดื่มทั้งหลายอาจจะดื่มน้ำผลไม้ซึ่งให้วิตามินซี เช่น น้ำส้ม หรือ ดื่มนม ซึ่งให้แคลเซียมสูง ก็จะช่วยลดอาการเมาค้างได้เช่นกัน

ที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การรับประทานอาหารประเภทแป้ง อาหารมัน ๆ ทอด ๆ ทุกชนิด โดยเฉพาะการรับประทานอาหารมัน ๆ นั้น จะอยู่ในท้องนานเกินกว่า 6 ชั่วโมง ทำให้รู้สึกพะอืดพะอม ลำไส้ และกระเพาะอาหารแปรปรวนเข้าไปอีก

ในกรณีที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว รู้สึก มึน ๆ ศีรษะ นพ.กฤษดา แนะนำว่า พอเริ่มรู้สึกว่ามึน ๆ ปุ๊บ ให้รับประทานยาแก้ปวดปั๊บ เป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน เพราะถ้ามัวชักช้า รีรอให้เมาจนได้ที่ เกิดอาการวิงเวียนศีรษะ ถึงตอนนั้นยาแก้ปวดก็คงเอาไม่อยู่แล้ว

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนมึนเมา อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มน้ำตาลในเลือด เช่น กล้วยหอม หรือ กล้วยน้ำว้า อีกอย่าง คือ ในคนเมามักจะขาดวิตามินบี 1 และ บี 12 ก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามิน 2 ตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น ซีเรียล ธัญพืช หรือผักใบเขียว เช่น คะน้า ก็ได้

นพ.กฤษดา บอกว่า คนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอ ฮอล์แล้วมีอาการปวดศีรษะมาก จะนอนก็นอนไม่ได้นั้น เป็นเพราะร่างกายได้สูญเสียน้ำไปมากนั่นเอง ดังนั้นนักดื่มก็จะต้องรีบเติมน้ำเข้าไปในร่างกาย ด้วยการดื่มน้ำมาก ๆ อย่างไรก็ตามอาการปวดศีรษะ มีวิธีแก้ง่าย ๆ คือ พยายามมองภาพที่เป็นสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน จะช่วยลดอาการปวดศีรษะลงได้ แม้แต่คนธรรมดาที่ไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้เมาค้าง ถ้ามีอาการปวดศีรษะ จะเอาวิธีนี้ไปใช้ก็ไม่ว่ากัน

ท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่า ข้อมูลข้างต้นจะเป็นประโยชน์แก่นักดื่มทั้งหลาย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ควรพยายามลด ละ เลิก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด หันไปดื่มเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ก็ไม่ควรดื่มจนเกินลิมิตของตัวเอง ถ้ารู้สึกมึน ๆ ก็น่าจะหยุดได้แล้ว มิใช่ฝืนดื่มจนร่างกายไม่ไหว

cยุโรปรณรงค์สนับสนุนให้ประชาชนกินแมลง

รัฐบาลสหภาพยุโรปกระตุ้นรณรงค์สนับสนุนให้ประชาชนกินแมลง แหล่งโภชนาการสำคัญในฐานะอาหารทางเลือกใหม่


สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลสหภาพยุโรปได้ขานรับการเสนอแนะของคณะผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่า แมลงอาจเป็นแหล่งโภชนาการสำคัญ ในฐานะอาหารทางเลือกใหม่ โดยล่าสุดคณะกรรมการยุโรปได้เสนอเงินจำนวน 2.65 ล้านปอนด์ ให้แก่หน่วยงานใด ๆ ที่ผุดโครงการสนับสนุนการบริโภคแมลง นอกจากนี้ คณะกรรมการฯยังได้สั่งให้หน่วยงานควบคุมมาตรฐานอาหารอังกฤษ มองหาลู่ทางที่สนับสนุนให้การบริโภคแมลง เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย

รายงานระบุว่า จากการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า แมลงประเภทตั๊กแตน สามารถให้โปรตีนแก่ร่างกายมนุษย์ได้ถึง 20 % มีอัตราไขมันต่ำเพียง 6 % เมื่อเทียบกับเนื้อวัวบด ซึ่งให้โปรตีน 24 % แต่ให้ไขมัน 18 %

ด้านศาสตราจารย์มาร์เซล ดิคเก้ ผู้เชี่ยวชาญผู้ทำการวิจัยบอกว่า เขาเชื่อว่า ก่อนปี 2020 ชาวยุโรปจะสามารถหาซื้อแมลงบริโภคในซูเปอร์มาร์เก็ตได้ และคาดว่า แมลงจะถูกบริโภคในลักษณะจิ้มซอสหรือเป็นไส้แซมเบอร์เกอร์ด้วย

ทั้งนี้ เชื่อว่า การกินแมลง อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่สามารถทดแทนการบริโภคเนื้อวัวแดงที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น ด้วย นอกจากนี้ เป็นที่รู้กันว่า แมลงต่างๆ ยังสร้างปฎิกิริยาเรือนกระจกน้อยกว่าสัตว์ประเภทวัว สิ้นเปลืองอาหารเลี้ยงต่ำ และยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วย

5 เหตุผล ที่เฟซบุ๊คไม่เวิร์คสำหรับคนคบกัน

สาว ๆ หนุ่ม ๆ สมัยนี้ที่กำลังเริ่มต้นทำความรู้จักกัน คงไม่ปฏิเสธว่าอาศัยเครือข่ายโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง "เฟซบุ๊ก" (Facebook) เป็นตัวช่วยสานความสัมพันธ์ให้ได้รู้จักกันมากขึ้น

และปฏิเสธไม่ออกอีกว่า ในครั้งแรกที่แลกเฟซบุ๊กและกดตอบรับซึ่งกันและกันเป็นเพื่อน แทบทุกคนต้องเข้าไปย้อนดูว่าอีกฝ่ายเคยโพสต์ข้อความอะไรไว้ ในอัลบั้มมีรูปอะไรบ้าง ฯลฯ ซึ่งก็ถือว่าเป็นหนทางการศึกษานิสัยและรสนิยมของอีกฝ่ายได้ในระดับหนึ่ง และดูท่าทางคู่ที่จีบกันจนเป็นแฟนผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบนี้ ก็คงจะมีอยู่ไม่น้อย

แต่ อ๊ะ ๆ ๆ !! อะไร ๆ มันไม่ได้ง่ายไปหมดขนาดนั้นครับ ดาบยังมีสองคม เฟซบุ๊กเองก็มีทั้งประโยชน์และโทษเช่นกัน เมื่อแรกรักมันอาจเป็นตัวช่วยสานความสัมพันธ์ ให้ได้ทักทายกันกิ๊วก๊าวน่ารัก ๆ แชร์เพลงแทนใจแลกกันฟัง หรือโพสต์ข้อความชวนฝันหวานส่งอีกฝ่ายเข้านอน แต่นาน ๆ เข้ามันก็กลายจากเครื่องมือสานรัก กลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้รักเริ่มมีรอยร้าวได้อย่างไม่น่าเชื่อ (แต่ก็ต้องเชื่อ) เลยล่ะ ว่าแต่จะเป็นวิธีไหนบ้างมาดูกัน...

1. รูปถ่ายคู่กับแฟนเก่า เท่านี้ก็เป็นเรื่อง

หากมันเป็นรูปที่มาจากอัลบั้มของคุณเองคงไม่เท่าไหร่ เพราะคุณคงเข้าไปจัดการลบทิ้งได้ด้วยตัวเอง แต่หากวันดีคืนดีเพื่อนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ของคุณ หวังดีแท็กรูปที่พาแฟนเก่าไปเที่ยวกันกับกลุ่มเพื่อนเมื่อครั้งกระนู้น สมัยที่ยังหวานจ๋อยจี๋จ๋ากันอยู่มาให้ คิดดูเถอะว่าหวานใจคนปัจจุบัน ร้อยทั้งร้อยถ้าเห็นรูปคนรักตัวเองอิงแอบแนบไหล่ หรือกุมมือมองตากันหวานเชื่อมกับหนุ่มหรือสาวคนอื่นแล้วล่ะก็ ต่อให้เป็นคนมีเหตุผลมาขนาดไหนก็คงมีปรี๊ดแตกกันได้ง่าย ๆ ถึงไม่ปรี๊ดแตกวันนี้ ก็คงกลายเป็นเรื่องฝังใจที่อีกฝ่ายต้องเก็บไปคิดแน่นอน หากไม่ดูแลดี ๆ อนาคตความรักคงชักจะสั่นคลอนซะแล้วล่ะ

2. สถานะรูปแบบความสัมพันธ์

บางคนอาจจะไม่จริงจังกับการตั้งสถานะ relationship บนเฟซบุ๊ก แต่บางคนเค้าก็คิดเป็นจริงเป็นจังนะ อย่างใครที่คบกันแล้ว แต่ไม่ยอมเปลี่ยนสถานะในเฟซบุ๊กว่ากำลังคบหาดูใจกันอยู่ อาจจะโดนท้วงติงแกมโกรธว่า ทำไมเธอไม่ยอมบอกว่าคบกับชั้นแล้วล่ะ มีความลับอะไรหรือไง ทำไมไม่อยากให้คนอื่นรู้ ฮึ! ... แหม ขนาดเป็นแค่โลกอินเทอร์เน็ตแต่ก็เก็บมาทะเลาะกันจริง ๆ ได้นะเนี่ย เดี๋ยวกลับไปเปลี่ยนว่า in relationship and it's complicated ก็แล้วกัน !!


3. แค่ทักทายก็หาว่าเจ้าชู้

ก็คนมันเพื่อนเยอะ แถมมนุษย์สัมพันธ์ดี จะโพสต์ข้อความไปทักทายกันบ้างก็ไม่แปลก แต่มันอาจเป็นเรื่องได้หากอีกฝ่ายคือเพศตรงข้าม แล้วคุณดันไปโพสต์ข้อความเป็นต้นว่า "คิดถึงจัง" หรือ "ไว้หาเวลามากินข้าวกันนะ" หรือคอมเมนท์ใต้รูปอีกฝ่ายว่า "น่าร๊ากกกอ้ะ" ไม่ว่าจะตั้งใจหมายความอย่างนั้นจริง ๆ หรือไม่ หรือทักทายไปตามมารยาทเพื่อนที่ดี แต่รับรองเหอะว่าแฟนคุณมาอ่าน เค้าก็ตีความในแง่ลบไปหมดแหละ นี่แอบไปมีกิ๊กใช่ไหม ทำไมต้องไปจ๊ะจ๋ากับเขาอย่างนั้น .. โอย ท่าทางปัญหาจะเริ่มก่อตัว

4. เป็นเพื่อนกับแฟนเก่าในเฟซบุ๊กก็ผิด

แฟนเก่า? เลิกกันไปแล้ว? ... แล้วทำไมยังเขายังอยู่ในรายชื่อเพื่อนในเฟซบุ๊กอีกล่ะ ลบไปสิ จะได้ไม่ต้องคุยกันอีก ที่ไม่ลบนี่ รอเวลากลับไปคืนดีกันใช่ไหม โอ้ย ๆ คิดไปได้เป็นตุเป็นตะกันจริง ๆ แต่ก็ขอบอกว่าคนที่คิดแบบนี้มีอยู่จริง ๆ นะ อาจจะเพราะรักเพราะหวงก็เลยอยากให้ตัดให้ขาด แต่ใช่ว่าคนเราแค่ไม่รักกันแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องขาดแล้วขาดเลย เลิกเป็นเพื่อนเลิกติดต่อกันเสมอไปนี่นา แต่เรื่องอย่างนี้คงอธิบายให้เข้าใจกันยาก...นี่ไง ความยุ่งยากของชีวิตรักที่มาจากเฟซบุ๊กอีกข้อหนึ่งล่ะ

5. โลกอินเทอร์เน็ตก็แค่จินตนาการ (แต่เธอไม่เข้าใจ)

บางครั้งบางคราวเราก็นึกสนุกอยากจะกุ๊กกิ๊กจิ๊จ๊ะกับเพื่อนขึ้นมา อารมณ์ว่าแกล้งหยอกแกล้งหยอดกันเล่น ๆ ไม่ต่างอะไรกับการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็ก ๆ ตอนเล่นก็เป็นคุณพ่อคุณแม่ พอเล่นเสร็จก็กลับสู่โลกแห่งความจริง แต่บ่อยครั้งคนที่เราคบอยู่เขาไม่สนุกด้วย ยิ่งได้เห็นข้อความจ๊ะจ๋าที่ส่งมาทักทายกันสนุก ๆ ให้ผ่านหูผ่านตา แต่ว่าไม่ปล่อยให้ผ่านใจ เก็บไปคิดมากจนหงุดหงิด จุดชนวนให้เกิดการเข้าใจผิด กลายเป็นเรื่องชวนทะเลาะกันได้อีก เฮ้อ...ซวยอีกแล้ว

เอาละสิ ทีนี้ ทำเอาคนใช้เฟซบุ๊กหนาว ๆ ร้อน ๆ อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จะทำอะไรก็ระวัง ๆ กันหน่อยแล้วกันครับ ถึงจะบริสุทธิ์ใจแต่ก็อาจโดนเข้าใจผิด คิดน้อยใจ กลายเป็นชวนทะเลาะ ได้ง่าย ๆ เหมือนกัน เอ้า ทำหน้าไม่เชื่ออีก แล้วจะหาว่าไม่เตือนนะจ๊ะ!

เผยยุโรป-เอเชีย ฮิต"บาร์อ๊อกซิเจน"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 12 ก.ย.ว่า หลายประเทศในยุโรปและเอเชีย ได้แก่ สหรัฐ,ญี่ปุ่น และเมืองใหญ่ ๆ ต่าง ๆ กำลังฮิต"บาร์อ๊อกซิเจน" เป็นแหล่งผ่อนคลายแห่งใหม่ โดยล่าสุด ออสเตรเลีย ได้เปิดบาร์อ๊อกซิเจน ชื่อว่า"O2 อ๊อกซิเจน สเตชั่น"ที่อ่าวดาร์ลิ่ง ให้บริการเสนออ๊อกซิเจนด้วยกลิ่นต่าง ๆ 15 ประเภท สำหรับการให้บริการ 15 นาที ต่อครั้ง โดยมีอ๊อกซิเจนแท้เป็นปริมาณ 90 % โดยกลิ่นอ๊อกซิเจนดังกล่าวยังรวมทั้งอ๊อกซิเจนกลิ่นกาแฟคาปูชิโน กลิ่นถั่ววานิลา กลิ่นมะพร้าว และกลิ่นอื่น ๆ อีกมาก

รายงานระบุว่า อ๊อกซิเจนในอากาศที่คนเราสูดกลิ่น มีปริมาณเพียง 21 % เท่านั้น แต่อ๊อกซิเจนในระดับที่เข้มข้นกว่าจะสามารถทำให้คนเรารู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และผ่อนคลายความเครียด มีสมาธิมากขึ้น ช่วยความจำดีขึ้น และยังให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนนักกีฬาด้วย

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา บาร์อ๊อกซิเจน ได้กลายเป็นบริการที่ประสบความสำเร็จในหลายประเทศ เนื่องจากผู้ใช้บริการมองว่าเป็นแหล่งหนีจากมลพิษ เนื่องจากอ๊อกซิเจนยังถูกมองว่ามีคุณสมบัติต่อต้านความแก่ด้วย

โรงงานยาจีนทำหรู สร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์โรงงาน "ฮาร์บิน ฟาร์มาเซียวติคอล กรุ๊ป" ในเมืองฮาร์บิน ในมณฑลไฮ่หลงเจียง ได้สร้างชั้นภายในเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส ขณะที่การเปิดเผยดังกล่าวสร้างกระแสเดือดไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในบริเว

โรงงาน "ฮาร์บิน ฟาร์มาเซียวติคอล กรุ๊ป" ในเมืองฮาร์บิน ในมณฑลไฮ่หลงเจียง ได้สร้างชั้นภายในเลียนแบบพระราชวังแวร์ซายส์ของฝรั่งเศส ขณะที่การเปิดเผยดังกล่าวสร้างกระแสเดือดไม่พอใจให้แก่ชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียง เนื่องจากเห็นว่าโรงงานแห่งนี้ควรนำเงินมาแก้ปัญหาการสร้างมลพิษให้แก่ชุมชนมากกว่าเนรมิตสถาปัตยกรรมหรู โดยเฉพาะการแก้ไขระบบระบายของเสียที่สร้างปัญหาให้แก่ชาวบ้าน

รายงานระบุว่า นับเป็นเหตุไม่พอใจล่าสุดของชาวบ้านจีนต่อโรงงานแห่งนี้ หลังเมื่อเดือนมิ.ย.โรงงานได้ปล่อยน้ำเสีย แก๊ซเสีย และสิ่งปฎิกูลทางอุตสาหกรรม โดยก่อนหน้านี้ โรงงานอ้างว่า ไม่มีเงินพอที่จะย้ายโรงงานออกไป และแก้ไขปัญหาด้านก่อมลพิษ

ทางด้านโรงงาน "ฮาร์บิน ฟาร์มาเซียวติคอล" ออกโรงโต้ว่า เว็บไซต์ดังกล่าวเผยแพร่ภาพเหล่านี้ด้วยจุดประสงค์มุ่งกลั่นแกล้งโรงงาน โดยภาพที่เห็นเป็นเพียงงานสร้างพิพิธภัณฑ์ เพื่อใช้สำหรับแสดงศิลปะท้องถิ่นเท่าน้ั้น

ทั้งนี้ จากรายงานประจำปีของโรงงานแห่งนี้พบว่า โรงงานได้ใช้เงินแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมเพียง 1.9 ล้านปอนด์ แต่ใช้งบโฆษณาสูงกว่าถึง 27 เท่า