วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

รักษาโรคน้ำกัดเท้าด้วยมังคุด

ในสภาวการณ์เช่นนี้ ผู้ประสบภัยบางรายอาจเจ็บไข้ด้วยการเป็นโรคน้ำกัดเท้า

วิธีการรักษาอย่างหนึ่งคือผลไม้ใกล้ตัวที่ชื่อ “มังคุด” เพราะมังคุดมีสรรพคุณ รักษาบาดแผล สมานแผล ใช้ชะล้างบาดแผล แก้แผลเปื่อย แผลเป็นหนอง ทาแผลพุพอง

วิธีรักษาคือ นำเปลือกผลสดหรือแห้ง ฝนกับน้ำปูนใสให้ข้นพอประมาณ ทาแผลน้ำกัดเท้า วันละ 2-3 ครั้ง จนกว่าจะหาย

แต่ข้อควรระวัง คือ ก่อนใช้ยาทาบริเวณที่น้ำกัดเท้า ควรจะล้างเท้าฟอกสบู่ให้สะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง ถ้ามีแอลกอฮอล์เช็ดแผล ควรเช็ดก่อนจึงทายา

“ความสุข“ หาได้ ต้องไม่พยายาม

การตั้งเป้าหมายว่า "ฉันจะมีความสุข" รังแต่จะทำให้มีความทุกข์เปล่าๆ

โดยการศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้จากมหาวิทยาลัยแห่งเดนเวอร์ พบว่า สาวๆ ที่เห็นว่าความสุขสำคัญที่สุดในชีวิต กลับซึมเศร้าและมีความสุขน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความสุขมากนัก (แปลกมั้ยล่ะคะ)

ผศ. จิตวิทยา ไอริส เมาส์ นักวิจัยชี้ว่า คนในกลุ่มแรกจะตั้งมาตรฐานชีวิตไว้สูง ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองไม่ดีพอ แต่เธอก็ยังเห็นว่าการหาความสุขเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่เราสามารถหาความสุขได้หลายทางที่ไม่ต้องทำลายตัวเองเป็นพอ

วิธี ทำให้สมอง แข็งแรง และเยาว์วัย

ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง กระตุ้นระบบความคิดทำงานเร็วขึ้น เพียงปรับกิจวัตรประจำวันง่าย ๆ
เริ่มจาก “ออกกำลังกายสม่ำเสมอ” อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง
ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดี เสริมสร้างสมองส่วนหน้าให้มีปริมาตรมากขึ้น จึงทำให้การทำงานของสมองดีขึ้นด้วย

“รับประทานมื้อเช้าเมนูเด็ด” แบบง่าย ๆ เหมาะสำหรับเวลาเร่งด่วน อาทิ อาหารไขมันต่ำ เช่น ธัญพืช อบกรอบราดนมไขมันต่ำ แซนด์วิชทูน่า
อุดมสารอาหารที่ดีต่อการพัฒนาของสมอง ช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มีสมาธิดีขึ้น

“ฟังเพลงคลาสสิคก่อนนอน” จะช่วยปรับคลื่นความคิดให้เป็นปกติ เนื่องจากจังหวะ เมโลดี้ และท่วงทำนองสวยงาม มีพลัง
ทำให้ผู้ฟัง เกิดความรู้สึกสงบ มีสมาธิ ช่วยเสริมสร้างปัญญา

“วาดรูป” ประกอบ การจดบันทึก หรือคำอธิบายต่าง ๆ จะช่วยให้จำรายละเอียดง่ายขึ้น เกิดสมาธิจดจ่ออยู่กับการควบคุมกล้ามเนื้อมือ
การประสานกันระหว่างมือกับตา ส่งผลให้ใจเย็น กระตุ้นจินตนาการ ปลดปล่อยความคิด และส่งเสริมพัฒนาการทางสมองได้ดี

ข้างต้นเป็นวิธีง่าย ๆ ปฏิบัติได้ทุกวัน นอกจากจะช่วยพัฒนาสมองให้ฟิต ความคิดก็ยังปิ๊งค์อยู่เสมอด้วย.

เกรปฟรุตผลไม้ดีมีประโยชน์

คุณผู้หญิงรู้ไหมค่ะ เกรปฟรุตผลไม้ทีมีหน้าตาคล้ายส้มโอมีประโยชน์มากมาย

ลองมาดูประโยชน์ที่เรานำมาฝากกันดูนะคะ เพื่อคุณผู้หญิงหลายๆ คนเห็นประโยชน์แล้วจะ ปิ๊งไอเดียรีบไปซื้อมาทาน

โยชน์ในการบำรุงผิวพรรณ : ทุกวันนี้การเลือกทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพจะช่วยบำรุงผิวและร่างกายโดยตรงแล้ว การที่่คุณผู้หญิงคั้นน้ำเกรปฟรุตคั้นสดๆ ไว้ทานนั้น ยังทำให้คุณผู้หญิงได้รับวิตามินซีที่อยู่ในน้ำเกรปฟรุตนั้นอีกด้วย ซึ่งน้ำเกรปฟรุตนั้นสามารถช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนของผิว ที่จะช่วยทำให้ผิวของคุณผู้หญิงดูเปล่งปลั่ง สดใสและอ่อนเยาว์ ดูมีน้ำมีนวลด้วยค่ะ

ทำให้ยิ้มสวย : เหงือกที่สุขภาพดีและรอยยิ้มที่แสนสวยนั้นมักจะไปด้วยกันเสมอ และประโยชน์ก็คล้ายกับข้อแรกนั่นแหละ วิตามินซีในเกรปฟรุตจะช่วยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนในเหงือกของคุณผู้หญิงหด้วย
ช่วยให้เท้าหอม : ด้วยการผสมเกลือทะเลครึ่งถ้วยเข้ากับขิงสดขูดให้ได้ 1 ช้อนโต๊ะ เนื้อเกรฟฟรุ้ต 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันงาหรือน้ำมันอัลมอนด์ 1 ถ้วย จากนั้นก็นำไปขัดเท้าตามปกติ ถ้าใช้ไม่หมดก็เก็บไว้ในตู้เย็นได้ถึง 3 สัปดาห์

ถุงยางอนามัย ป้องกันแผลติดเชื้อจากน้ำท่วม

ในภาวะน้ำท่วมที่เราเผชิญกันอยู่ในขณะ นี้ ก็มีพ่อแม่พี่น้องชาวไทยช่วยกันแบ่งปันของบริจาคกันเป็นจำนวนมากนะครับ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค เงิน หรือของใช้ต่างๆ รู้รึเปล่า ว่าบริจาคถุงยาง (ถุงยางนั่นแหละ ไม่ใช่ถุงยังชีพ !!) ก็มีประโยชน์ในภาวะน้ำท่วมเหมือนกัน !?




มีหลายท่านเริ่มซื้อถุงยางอนามัยเพื่อ ส่งไปช่วยเหลือทหาร ตำรวจ หน่วยกู้ภัยและผู้ประสบภัยเพื่อรัดแผลไม่ให้แผลติดเชื้อจากน้ำท่วม ... ปัญหามีอยู่ว่า ... ปลายทางที่ได้รับนั้น เขาไม่เข้าใจว่าส่งมาเพื่ออะไร? แล้วมันใช้ประโยชน์ในสถานการณ์นี้ได้อย่างไร? ... เจ้าของไอเดียเลยทำภาพแบบกราฟฟิค ขาวดำ ซึ่งสามารถปรินท์ส่งไปพร้อมถุงยางอนามัยได้เลยครับ ... โดยไฟล์ภาพละเอียดพร้อมปรินท์อยู่ที่ : http://www.t-h-a-i-l-a-n-d.org/use_condom_protect_from_flood_2554.jpg (ท่านสามารถ Download ได้เลยครับ)

เผยภาพ งานพิธีอภิเษกสมรส กษัตริย์จิกมี แห่งภูฏาน


เผยภาพ งานพิธีอภิเษกสมรส กษัตริย์จิกมี แห่งภูฏาน

งานแต่งเจ้าชายจิกมี
กษัตริย์จิกมี ทรงอภิเษกสมรสกับหญิงสามัญชนแล้ว
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิ๊กมี แห่งภูฏาน มีขึ้นอย่างเรียบง่าย เมื่อช่วงเช้าวันนี้ ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีของพสกนิกรชาวภูฏานทั้งประเทศ
พระราชพิธีอย่างเรียบง่ายระหว่างสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคซาร์ วังเกล นัมชุก กับนางสาวเจ็ตซัน เปมา หญิงสามัญชน มีขึ้นที่เมืองพูนาคา เมืองหลวงเก่าของประเทศ โดยไม่มีการเชิญสมาชิกราชวงศ์จากต่างประเทศ ผู้นำประเทศ หรือเหล่าคนดังเข้าร่วมเลย โดยมีเพียงสมาชิกจากราชวงศ์ภูฏาน และประชาชนชาวภูฏานนับพันคนในหมู่บ้านใกล้เคียงเข้าร่วมในพิธี ขณะที่ชาวภูฏาน 7 แสนคนเฝ้าชมการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์

ในพิธีซึ่งจัดขึ้นตามโบราณราชประเพณี กษัตริย์จิกมี จะไปทรงรอรับเจ้าสาวที่สะพานไม้ เพื่อข้ามไปทรงประกอบพิธีทางศาสนาที่พูนาคา ก่อนจะเสด็จออกมาทรงพบปะกับประชาชนชาวภูฏาน ที่มาเฝ้ารอรับเสด็จอยู่ด้านนอก และตลอดทั้งวันนี้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลอง และงานรื่นเริงตามแบบฉบับของชาวภูฏาน ทั้งที่เมืองพูนาคา และกรุงทิมพู นครหลวง



การเตรียมงานพิธีอภิเษกสมรส กษัตริย์จิกมี แห่งภูฏาน
สำนักข่าวต่างประเทศเผยภาพ ราชอาณาจักรภูฏานเตรียมพร้อมสำหรับ พระราชพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคซาร์ นัมเกลวังชุค แห่งภูฏาน กับ นางสาวเจตซัน เปมา ที่พูนาคา เมืองหลวงของภูฏาน ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ในวันพรุ่งนี้
หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้น ทั้งกษัตริย์จิกมีและพระราชินี จะเสด็จไปยังกรุงทิมพู และจะมีพิธีเฉลิมฉลองพิธีเสกสมรสที่สนามกีฬา ชางลิงมิทาง Changlingmithang stadium ในกรุงทิมพูในวันที่ 15 ต.ค.นี้

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ทรงเป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 5 ของภูฏาน นับแต่มีการสถาปนาราชอาณาจักรภูฏานขึ้นในปี 2450 ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซินเกวางชุก จากพระชายาพระองค์ที่ 3 และทรงขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2549 หลังพระราชบิดาทรงสละราชสมบัติ เพื่อทรงเปิดทางให้พระองค์

สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ขณะที่นางสาวเจตซุน เป็นนักศึกษาจากรีเจนต์ส คอลเลจ ของกรุงลอนดอน
Mthai News



เจตสัน เปมา พระคู่หมั้น เจ้าชายจิกมี

ภาพเตรียม งานแต่งเจ้าชายจิกมี
เจตสัน เปมา พระคู่หมั้น เจ้าชายจิกมี

เปิดโปรเจคสุดล้ำ! ตึกใต้ดิน 65 ชั้น แห่งแรกของโลก

เปิดโปรเจคสุดล้ำ! ตึกใต้ดิน 65 ชั้น แห่งแรกของโลก ที่แม็กซิโก

Mthainews: สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถาปนิกได้ออกแบบสถาปัตยกรรมอันล้ำสมัยใจกลางเมืองแม็กซิโก ที่ประกอบไปด้วยทั้งหมด 65 ชั้น ต่างจากสิ่งก่อสร้างทั่วไปคือ มีการเจาะลงไปใต้ดินถึง 300 เมตร หากมองโครงสร้างภายนอก จะมีลักษณะเป็นพีรามิดหัวกลับ แต่ละ10ชั้น จะแบ่งแยกเป็นสถานที่พักอาศัย ร้านค้า และพิพิธภัณฑ์ ส่วนอีก35 ชั้นที่เหลือจัดเป็นออฟฟิสต่างๆ



ทั้งนี้ ตึกใต้ดินชั้นบนสุด จะเป็นลานกิจกรรม กว้าง240เมตร ยาว 240 เมตร วัสดุส่วนใหญ่ มีการใช้กระจกก่อสร้างเพื่อรองรับแสงธรรมชาติที่ส่องลงมาจากดวงอาทิตย์ และการออกแบบให้มีการถ่ายเทอากาศที่เหมาะสม



ส่วนพื้นที่สาธารณะมีการตกแต่งด้วยธรรมชาติ ให้ผู้อาศัยรู้สึกหนีจากความวุ่นวายในเมือง



เอสเตบาน ซัวเรซ จากบริษัทสถาปนิก BNKR กล่าวว่าตึกแห่งนี้จะเป็นแหล่งศูนย์กลางในย่านนี้ สามารถทำกิจกรมได้หลากหลาย เช่นการจัดคอนเสิร์ต นิทรรศการกลางแจ้ง หรือแม้กระทั่งการเดินสวนสนามของทหารเป็นต้น



โครงการดังกล่าว ถือเป็นไอเดียสร้างสรรค์ที่ยังไม่มีที่ใดสร้างตึกลงไปอยู่ใต้ดิน หากดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้น จะเป็นตึกใต้ดินแห่งแรกของโลก







เพียงสัปดาห์เดียว iPhone 4S ทำยอดขายทะลุ 4 ล้านเครื่อง...


เพียงสัปดาห์เดียว iPhone 4S ทำยอดขายทะลุ 4 ล้านเครื่องเป็นที่เรียบร้อย iOS 5 มีผู้ใช้งานกว่า 25ล้านคนภายใน 5 วันที่เปิดดาวน์โหลด

เป็นไปตามคาดเมื่อ Apple ประกาศความสำเร็จอย่างเป็นทางการสำหรับยอดจำหน่าย iPhone 4S ที่เพิ่งวางจำหน่ายไปเพียงสัปดาห์แรกก็ได้รับการตอบรับอย่างถล่มทะลายถึง 4 ล้านเครื่อง เป็นไปตามคำทำนายและวิเคราะห์จากนักการตลาดทั่วโลกที่ได้ออกมาให้ความเห็นกันก่อนหน้านี้

ถือได้ว่าเป็นสถิติสูงสุดของการจำหน่ายสมาร์ทโฟนครั้งใหม่ของโลก โดยหากย้อนกลับไปมองยอดจำหน่ายในครั้งก่อนหน้านี้จะพบว่า Apple ใช้เวลาในการจำหน่าย iPhone 4 ถึง 3 สัปดาห์ถึงจะได้ยอดจำหน่ายที่ 3 ล้านเครื่อง ส่วนยอดจำหน่ายของ iPhone รุ่นแรกนั้นต้องใช้เวลาถึง 74 วันถึงจะได้ตัวเลขยอดจำหน่ายที่ 1 ล้านเครื่อง ในขณะที่แบรนด์คู่แข่งอย่าง Samsung มีสถิติในการจำหน่าย Samsung Galaxy S II ที่จำนวน 10 ล้านนเครื่องในระยะเวลาวางจำหน่าย 5 เดือน

อย่างไรก็ตามยังมีสถิติที่น่าสนใจนอกจากยอดจำหน่ายของ iPhone 4S นั่นก็คือตัวเลขของยอดจำนวนการใช้งาน iOS 5 ถึง 25 ล้านคนภายในเวลา 5 วันหลังจากที่มีการปล่อยให้ดาวน์โหลดใช้งาน และจำนวนผู้ใช้ iCloud ที่ได้ลงทะเบียนใช้งานกว่า 20 ล้านคนภายในเวลา 5 วันหลังจากเปิดบริการ ทั้งนี้ในขณะนี้ iPhone 4S ได้วางจำหน่ายแล้วในประเทศ สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, ญี่ปุ่นและอังกฤษไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังจะวางจำหน่ายในอีกกว่า 22 ประเทศในวันที่ 28 ตุลาคม ตามมาด้วยอีก 70 ประเทศทั่วโลกในช่วงปลายปี 2011 นี้อีกด้วย

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

5ขั้นตอน ทำโน้ตบุ๊คให้สะอาด

5ขั้นตอน ทำโน้ตบุ๊คให้สะอาด วันนี้เอาทิปทำความสะอาดโน้ตบุ๊คมาฝาก กันครับรับรองว่าทิปนี้จะทำให้โน้ตบุ๊คน่าใช้ขึ้นอีกเป็นกองเลย อ้อ บอกก่อนนะครับว่า ทิปที่เอามานำเสนอวันนี้เป็นวิธีทำความสะอาดโน้ตบุ๊คที่ผมทำอยู่เป็นประจำ ทุกเดือนโน้ตบุ๊คผมสีขาวครับ ถ้าไม่ทำความสะอาดทุกเดือนจะโสฯมากๆ อี๋..หมดห่วงนะว่าทำตามแล้วเครื่องจะเสียหาย เป็นรอย หรือเปลี่ยนสี(เป็นสีเหลือง)

ขอใช้ Asus M5N Pearl White เป็นตัวแนะนำทิปละกันครับ (ขาวๆ อย่างนี้นี่แหละ ต้องทำความสะอาดบ่อยๆ ไม่งั้นมอมแมมน่าเกลียดมาก)

ก่อนอื่นมาเตรียมอุปกรณ์กันก่อน …เครื่องมือในการทำความสะอาดประกอบด้วย

- กระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก (ใช้สำหรับผสมน้ำยา)

- กระดาษเช็ดหน้า (ขอแนะนำให้ใช้ คลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ … เท่าที่ลองมา คลีเน็ก รุ่นนี้ดีที่สุด)

- แปรงทาสีขนาด 3/4 นิ้ว (เลือกใช้แปรงที่ขนไม่ร่วงนะครับ) ถ้าหาซื้อไม่ได้ใช้แปรงสีฟันเก่าก็ได้ ^^”

- ลูกยางเป่าลม (ถ้าหาไม่ได้สามารถใช้ลมกระป๋องแทนได้ .. แต่ต้องฉีดห่างๆ เพื่อลดแรงลม)

- ผ้า Duster Cloth ของ 3M (ใช้สำหรับกรณีที่มีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ) หาซื้อได้ตาม โลตัส บิ๊กซี

- ผ้าไมโครไฟเบอร์ ของ 3M (อันนี้จำเป็นมาก หาซื้อได้ทั่วไปตามโลตัส บิ๊กซี ราคาไม่เกิน 100 บาท)

- น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (มีขายทั่วไปตามร้านคอมฯ)

ขั้นตอนในการทำความสะอาด

ขั้นตอนที่ 1 : ปัดฝุ่น

กรณีที่โน้ตบุ๊คมีฝุ่นจับมากเป็นพิเศษ(พาโน้ตบุ๊คไปลุยแรลลี่ดั๊กก้ามา ให้ใช้ผ้า Duster Cloth ของ 3M
เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ส่วนฝุ่นที่ติดอยู่ที่จอให้ใช้ผ้า Duster Cloth ปัดออก ปัดนะ อย่าเช็ด!
โน้ตบุ๊คที่มีฝุ่นจับไม่มาก ให้ใช้ลูกยางเป่าลม เป่าฝุ่นตามคีย์บอร์ด จอ และซอกหลืบต่างๆ
ทีนี้จะมีฝุ่นบางกลุ่มหน้าด้านเกาะไม่ยอมหลุด ให้ใช้แปรงทาสีปัด แคะ เขี่ย ฝุ่นที่ติดตามซอกหลืบและร่องต่างๆ
แล้วเป่าลมซ้ำอีกครั้งด้วยลูกยางเป่าลม .. เท่านี้ฝุ่นก็กระจุยออกไปหมดแล้ว
(รูปขวาสุด ไม่เห็นฝุ่นในร่องไอคอนสถานะอีกแล้ว นี่ถ้าไม่ได้ใช้แปรงปัด ฝุ่นไม่หลุดแน่นอน)

จอ LCD ที่มีคราบนิ้วมือ คราบมันต่างๆ ให้ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์เช็ดคราบออก(เช็ดเบาๆ อย่าออกแรงกด) ถ้าเช็ดไม่ออกจริงๆ ให้ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดให้หมาดที่สุด)ถูกบริเวณคราบเบาๆ และเช็ดคราบน้ำ ออกด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์อีกครั้ง (ห้ามใช้น้ำยาเด็ดขาด .. จอด่างขึ้นมาไม่รู้ด้วยนะ)

ขั้นตอนที่ 2 : เช็ดคราบสกปรก

ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ) เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค เช่น บริเวณแป้นวางมือ(บริเวณที่สกปรกที่สุด)
คีย์บอร์ด ขอบจอ หลังจอ ระหว่างเช็ดสังเกตด้วยนะ ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษ
เพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ด ซวยเลย
ขอย้ำอีกครั้ง ว่าใช้ให้ กระดาษเช็ดหน้าคลีเน็กซ์ อัลตรา ซอฟท์ … รุ่นนี้ เหนียว นุ่ม ไม่ยุ่ยง่ายๆ
ยี่ห้ออื่นหยาบเกินไปอาจทำให้โน้ตบุ๊คเป็นรอยขนแมวได้ .. เด๋วโน้ตบุ๊คจะหมดสวยกันพอดี

ขั้นตอนที่ 3 : เช็ดคราบสกปรกที่ขั้นตอนที่แล้วเช็ดไม่ออก

จากขั้นตอนที่แล้ว กระดาษเช็ดหน้าจะขจัดคราบสกปรกออกได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น
ยังมีคราบสกปรกที่มองไม่เห็นติดอยู่พอสมควร .. ต้องใช้ตัวช่วย!!
นี่ .. ตัวช่วย! น้ำยาเช็ดคอม Touche Klean (หาซื้อได้ทั่วไปเช่นกัน)

วิธีใช้น้ำยานี้ก็ง่ายๆ ..
แต่ แต่ แต่
ห้ามใช้น้ำยา Touche Klean กับโน้ตบุ๊คโดยตรง เพราะจะทำให้โน้ตบุ๊คมีคราบเหลืองหรือเปลี่ยนสีได้
ของอย่างนี้มีองค์ และมีขั้นตอน …
ยังไงมาดูกัน

กระป๋อง หรือ ถ้วยขนาดเล็ก ที่ให้เตรียมไว้ตั้งแต่ตอนแรกก็เพื่อการนี้แหละ ..
งานนี้ใช้ก้นกระป๋องเป็นที่ผสมน้ำยาครับ อิๆ ไฮโซซะไม่มี ก่อนอื่นเทน้ำยา
ลงประมาณ 7 – 8 หยด เติมน้ำเปล่าลงไป 1/4 ของฝาเหล้า คนให้เข้ากัน
งงมั๊ย?? เอาเป็นว่าผสมน้ำยา Touche Klean กับน้ำเปล่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 เป็นอย่างน้อย
แต่ปกติแล้วผมจะผสมที่อัตราส่วน 1 : 2 หรือไม่ก็ 1 : 3 (ขึ้นอยู่กับความโสโครก ถ้าโสฯมาก 1:1 โลด)
หลังจากผสม กวนๆ น้ำยากับน้ำเข้ากันแล้ว ไปดูขั้นตอนต่อไปกัน

ขั้นตอนที่ 4 : สกปรกอย่าอยู่เลย

กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำยาที่ผสมแล้วบิดหมาดๆ เช็ดให้ทั่วบอดี้โน้ตบุ๊ค(จอไม่ต้องเช็ด)
บนแป้นวางมือ หลังจอ ขอบจอ เช็ดให้หมด … ถูๆ ด้วย คราบสกปรกจะได้หลุดออกมาเร็วขึ้น
สำหรับคีย์บอร์ดให้ม้วนกระดาษเช็ดหน้าให้เล็กลง ค่อยๆ เช็ดไปทีละปุ่ม หรือจะใช้คัตตอนบัดเช็ดก็ได้
ถ้ากระดาษเช็ดหน้าเริ่มยุ่ยให้เปลี่ยนกระดาษ
เพราะไม่อย่างนั้นเศษกระดาษอาจหลุดลงไปในร่องคีย์บอร์ดได้ ซวยเลย เตือนเป็นครั้งที่ 2 แล้วนะ
พลิกกระดาษเช็ดหน้าขึ้นดู … กระดาษดำป่ะ?
ยังไม่เสร็จ นะ … มีอีกขั้นตอนนึง

ขั้นตอนที่ 5 : ซ้ำชั้นตอนที่ 2

ใช้กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำ(บิดหมาดๆ)เช็ดให้ทั่วตัวโน้ตบุ๊ค ที่ต้องเช็ดด้วยน้ำเปล่าอีกครั้ง
ก็เพื่อล้างคราบน้ำยาที่ติดอยู่ที่ตัวโน้ตบุ๊คออกนั่นแหละ … เช็ดซ้ำทุกส่วนที่เช็ดน้ำยาลงไป
เสร็จแล้วก็ใช้กระดาษเช็ดหน้าแห้งๆ เช็ดคราบน้ำออก …
เป็นอันเสร็จพิธี … เสร็จสิ้นวิธีทำความสะอาดโน้ตบุ๊ค รับรองสะอาดน่าใช้ขึ้นเป็นกอง
อ้อ ด้านล่างของโน้ตบุ๊ค ใช้แค่กระดาษเช็ดหน้าชุบน้ำเช็ดออกก็เพียงพอแล้ว
แต่ถ้าจะใช้น้ำยาด้วยก็ไม่ว่ากัน .. แต่บิดกระดาษให้หมาดที่สุดนะ ด้านล่างช่องมันเยอะ
ถ้าโน้ตบุ๊คไม่มีวอยด์ เปิดฝาออกมาเป่าฝุ่นหน่อยก็ดี

คำแนะนำอื่นๆ

สติกเกอร์ Spec เครื่อง, โลโก้ Centrino หรือแม้แต่โลโก้ Windows XP
ใช้ไปสักพักสติ๊กเกอร์พวกนี้สีซีด สีหลุด หรือไม่ก็ลอกออกทั้งแผ่น พอแกะสติ๊กเกอร์พวกนี้ออกก็สายไปแล้ว!
เพราะทิ้งไว้นานๆ สีที่อยู่ใต้สติ๊กเกอร์เข้มกว่าสีบริเวณที่ไม่สติ๊กเกอร์
ไม่แกะออกก็ไม่สวย .. แกะออกก็ยิ่งไม่สวย .. โน้ตบุ๊คจะหมดสวยเพราะสติ๊กเกอร์พวกนี้แหละ
เป็นไปได้สติ๊กเกอร์อันไหนที่ไม่มีผลต่อประกันให้แกะออกให้หมดเลย
ดูเครื่องผมละกัน แกะออกเกลี้ยงเลย ^^” … vaio ผมก็แกะออกเหมือนกัน

อย่าลืมว่า...ต่างคนต่างก็ยังมีหัวใจของตัวเอง

อาจเพราะการแสดงอาการครอบครอง หึงหวง เอาใจใส่ ดูแลกันและกัน เป็นเรื่องที่ดีในสำหรับ "ความรัก" แต่บางครั้งอย่าลืมว่าในทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรที่มากเกินจนคำว่า "พอดี" มันจะกลายเป็น "อึดอัด" ..."รำคาญ" ...และ "เบื่อหน่าย" มากกว่าสุขจนล้นใจ

ทำไมไม่ทำแบบนี้...ใส่เสื้อตัวนี้ซิดูดีออก...ใส่กาง เกงตัวนี้เธอดูอ้วน มาก...กินทำไมไม่เห็นจะมีประโยชน์...เมื่อไหร่จะเลิก เล่นเกมซะที...เธอคิด ว่าที่ทำอยู่มันดีแล้วเหรอ บลาๆๆๆๆ และอีกมากมายหลายหลากถ้อยคำที่ออกมาจากปากคนรัก จะด้วยความตั้งใจ ประชดประชัน หรือพูดไปโดยไม่คิดอะไรก็ตาม แต่บางครั้งมันก็ไปโดนใจคนฟัง ชนิดที่ทำร้ายความรู้สึกกันมากทีเดียว

"อย่าลืมว่าทุกคนต่างก็มีหัวใจเป็นของตัวเอง" ควรเว้นที่ว่างให้กันและกันได้พักหายใจบ้าง ได้ทำอะไรตามความชอบของตัวเองบ้าง เพราะต่างคนต่างที่มา ต่างคนต่างความคิด จะให้ชอบหรือทำอะไร ๆ เหมือนกันไปซะทุกอย่างมันเป็นไปไม่ได้หรอก ในเมื่อคิดจะรักกันแล้ว ก็ต้องเข้าใจกันและกันด้วย อย่าพยายามเข้าไปวุ่นวาย หรือเจ้ากี้เจ้าการอะไรให้มันมากนัก เอาแบบพอดี ๆ หรือเลือกที่จะใช้คำพูดเบาบางลง เพื่อลดความอึมครึมก็ดีเหมือนกันนะ

ที่สำคัญคือควรเคารพในพื้นที่ส่วนตัวของกันและกัน อย่าให้อีกคนหนึ่งยิ้ม แต่อีกคนหนึ่งต้องฝืนทนทำในสิ่งที่ไม่ชอบเลย เพราะความรักจะงดงามได้หากคุณทั้งสองคนมีความสุขไปพร ้อม ๆ กัน เพียงเท่านี้...ชีวิตรักของคุณจะมีความสุขในทุก ๆ วันแล้วล่ะ

ป่วยหวัด ไม่พัก ระวังตาย

โรคหวัด ใครๆ ก็ป่วยได้ เป็นก็ง่าย ติดหวัดจากคนอื่นก็ง่ายอีกเช่นกัน

หลายคนจึงคิดว่า โรคนี้เป็นโรคสุดธรรมดา ไม่มีอะไรร้ายแรง แค่กินยา นอนพักผ่อน ผ่านไปไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย ซึ่งในกรณีที่ได้พักผ่อน โรคหวัดก็จะทุเลาหรือหายได้ใน 2-3 วัน อย่างช้าที่สุดไม่เกิน 1 สัปดาห์

ทว่า เป็นหวัด มีน้ำมูก ปวดเมื่อยมาทั้งอาทิตย์ไม่ยอมหาย แต่กลับปรากฎอาการเจ็บหน้าอกและเหนื่อยง่ายเพิ่มเข้ามา โรคหวัดที่เคยคิดว่าธรรมดาจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

สาเหตุที่ทำให้โรคหวัดบานปลายกลายเป็นกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เพราะไวรัสค็อกซัคกี้ ที่พบมากในช่วงหน้าร้อน เข้าไปแพร่เชื้อที่ลำคอ และเกิดอาการติดเชื้อขึ้น ซึ่งถ้าผู้ป่วยพักผ่อนเพียงพอ ภูมิคุ้มกันของร่างกายจะกำจัดไวรัสดังกล่าวไปได้

ในทางตรงกันข้าม ผู้ป่วยโรคหวัดเพราะเชื้อไวรัสค็อกซัคกี้ที่ไม่ยอมพักผ่อน อดนอน นอนน้อย แถมยังดื่มแอลแอฮอล์ จะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายลดต่ำลง

ไวรัสจึงแพร่กระจายไปตามเส้นเลือดและไปทั่วทั้งร่างกาย กระทั่งไวรัสเข้าไปถึงหัวใจและทำลายกล้ามเนื้อหัวใจทันที ในระยะนี้ผู้ป่วยจะรู้สึกหอบเหนื่อย เดินไม่ไหว และหายใจไม่ทัน ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทราบว่า ควรรีบไปพบแพทย์ มิเช่นนั้นเสี่ยงหัวใจล้มเหลว ซ้ำร้ายไวรัสก็ยังกัดทำลายหัวใจมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม โรคหวัดที่พัฒนาไปสู่กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบพบได้ 1 ใน 10,000 คนต่อปี

โดยร้อยละ 10 ของผู้ป่วยนั้นเสียชีวิต เนื่องจากเพิกเฉยต่ออาการหวัดที่ผิดปกติอย่างที่กล่าว ดังนั้น หากป่วยด้วยโรคหวัดควรพักผ่อนให้มากๆ ถ้า 1 สัปดาห์ผ่านไปยังไม่ดีขึ้น ต้องพบแพทย์ ทั้งนี้การตรวจพบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แพทย์จะทำการรักษาโดยเน้นพักผ่อนให้หัวใจทำงานน้อยที่สุด.

ความมหัศจรรย์ของรังผึ้ง

ผึ้งสร้างรังเพื่อไว้ใช้อยู่อาศัย เก็บน้ำหวานและฟักตัวอ่อน แล้วเคยทราบกันไหมว่าภายใต้รังอันวกวนนั้น ซ่อนอะไรไว้บ้าง

ก่อนอื่นเราต้องทราบชนิดของผึ้งที่อาศัยอยู่ในรังก่อน โดยผึ้งที่ตัวใหญ่ที่สุดเรียกว่า "ผึ้งนางพญา" มีหน้าที่ในการออกไข่ โดยไข่จะถูกผสมโดยผึ้งตัวผู้ แล้วฟักเป็นตัวหนอนในลำดับต่อไป "ผึ้งงาน" เป็นผึ้งตัวเมีย แต่ไม่สามารถออกไข่ได้เหมือนผึ้งนางพญา โดยผึ้งงานจะฟักออกมาจากไข่ที่ผสมแล้ว พวกนี้ทำงานอย่างหนักทั้งสร้างรัง เก็บไข่ เก็บน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ เพื่อเป็นอาหารของตัวอ่อน สุดท้าย "ผึ้งตัวผู้" เกิดมาจากไข่ที่ไม่ได้รับการผสม

เมื่อผึ้งงานรวบรวมน้ำหวานจากดอกไม้ได้มากพอ ก็จะสร้างขึ้ผึ้งทำเป็นรังผึ้ง จากต่อมผลิตไขผึ้งที่อยู่ส่วนท้องของลำตัว

โดยใช้ส่วนปากทำไขเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วก่อตัวเป็นรวงรูป 6 เหลี่ยม แบบที่เห็น ๆ กันทั่วไป รังผึ้งหรือรวงผึ้ง ถูกสร้างอย่างมีระเบียบแบบแผน เพราะจากการพิสูจน์โดยนักคณิตศาสตร์ ปรากฎว่า รังผึ้งจะเป็นรูปหกเหลี่ยมด้านเท่าเสมอ ๆ และจากการคำนวณอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่า ผึ้งทุกชนิด ทุกประเภทสายพันธุ์ ไม่ว่าจะสร้างรังขนาดแค่ไหน รูปหกเหลี่ยมในช่องของรังผึ้งจะทำมุมป้าน 109 องศา 28 ลิปดา ทำมุมแหลม 70 องศา 32 ลิปดาทุกรัง ซึ่งการสร้างรูปทรงลักษณะนี้ จะทำให้รังผึ้งมีความจุมากที่สุด และสามารถเก็บน้ำผึ้งได้มากที่สุดนั่นเอง

ก็ไม่รู้ว่าเหล่าผึ้งตัวน้อยไปเรียนเลขกันมาจากสำนักไหน ถึงได้คำนวณเท่ากันเป๊ะ ๆ แบบนี้ ทำให้มนุษย์ทึ่งกับความมหัศจรรย์จากโลกแมลงไปตาม ๆ กัน.

กิน 'แคบหมู' อย่างไรไม่ให้อ้วน

แคบหมู”เป็นอาหารพื้นบ้านของชาวล้านนาไทยประเภทเครื่องเคียง

รับประทานกับน้ำพริกและแกงคั่วต่าง ๆ ในปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาค ที่เห็นกันจนชินตา คือ นำมารับประทานกับก๋วยเตี๋ยวเรือ ส้มตำ ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า แคบหมู มีกี่ชนิด แต่ละชนิดมีปริมาณไขมัน และโซเดียม (เกลือ) ต่างกันอย่างไร แล้วควรรับประทานมากน้อยแค่ไหนถึงจะไม่อ้วน
มาฟังคำตอบจาก ดร.ศักดา พรึงลำภู หัวหน้าศูนย์วิจัยด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพประยุกต์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ที่ได้ร่วมกับคณะทำการศึกษาวิเคราะห์ “ปริมาณไขมันรวมและโซเดียมในแคบหมูที่ผลิตในพื้นที่ 8 จังหวัดทางภาคเหนือของไทย” ประกอบด้วย จ.เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน เชียงราย และแม่ฮ่องสอน ซึ่งได้มีการนำเสนอผลการศึกษาเรื่องนี้ในการประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 5 ที่ผ่านมา
ดร.ศักดา อธิบายว่า แคบหมูที่ทำจากหนังหมูแบ่งได้หลายลักษณะ ได้แก่ แคบหมูไร้มัน ทำจากหนังหมูล้วน ๆ มีขายทั่วไปในท้องตลาด แคบหมูติดมันบ้างไม่มากนัก แคบหมูชนิดนี้นิยมรับประทานกันมากและหาซื้อได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะแถว เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง เชียงราย แคบหมูติดมันและมีเนื้อปน ส่วนมากนิยมทำเป็นแผ่นใหญ่และทำในบางจังหวัดเช่น ตาก น่าน แพร่ แต่ไม่นิยมรับประทานกันมากนักเพราะเก็บไว้ไม่ได้นาน
จากการเก็บตัวอย่าง “แคบหมูไร้มัน” และ “แคบหมูติดมัน”ที่ผลิตในระดับครัวเรือนและวิสาหกิจ หรือธุรกิจขนาดย่อม 8 จังหวัด

มาวิเคราะห์ปริมาณไขมันรวม และโซเดียม พบว่า ปริมาณไขมันรวมใน “แคบหมูติดมัน” มีประมาณ 51.08 กรัมต่อ 1 ขีด ดังนั้นกินแคบหมูติดมัน 1 ขีดจะได้ไขมันประมาณครึ่งขีด หรือประมาณ 50% ส่วน “แคบหมูไร้มัน” อ่านตามชื่อไม่น่าจะมีไขมันเลย แต่ความจริงแล้วมีไขมัน 33.78 กรัมต่อ 1 ขีด หรือประมาณ 30% จะเห็นได้ว่าแคบหมูทั้ง 2 ชนิดมีปริมาณไขมันต่างกันแค่ 20% เท่านั้น
แต่พอมีการสื่อสารออกไปว่า “แคบหมูไร้มัน” แทนที่ผู้บริโภคจะซื้อถุงเดียวก็อาจจะซื้อ 2 ถุง ถ้ารับประทานทั้ง 2 ถุง ก็ได้ไขมันมากกว่า “แคบหมูติดมัน” 1 ถุง เพราะกินด้วยความสบายใจว่า “แคบหมูไร้มัน” ไม่มีไขมัน

ส่วนปริมาณโซเดียมในแคบหมูทั้ง 2 ชนิด จากการศึกษา

พบว่า “แคบหมูติดมัน” มีปริมาณโซเดียม 927.47 มิลลิกรัมต่อ 1 ขีด ส่วน “แคบหมูไร้มัน” มีโซเดียม 1,213.9 มิลลิกรัมต่อ 1 ขีด สาเหตุที่ “แคบหมูไร้มัน” มีโซเดียมมากกว่า “แคบหมูติดมัน” คงเป็นเพราะเมื่อเอาไขมันออก ความอร่อยจะลดลง เพราะความมันทำให้เกิดความอร่อย ด้วยเหตุนี้ในการผลิต ชาวบ้านจะเติมเกลือลงไปอีกนิดหน่อยเพื่อให้รสชาติดีขึ้น
ดร.ศักดา กล่าวว่า ปริมาณไขมันและโซเดียมที่ควรได้รับต่อวัน ขึ้นอยู่กับเพศและอายุ

โดยปริมาณไขมันที่ผู้ใหญ่ควรได้รับต่อวันอยู่ระหว่าง 50-70 กรัม คือ รับประทานแคบหมูติดมัน 1 ขีดก็จะได้ไขมันเพียงพอกับความต้องการแล้ว ถ้ากินมากก็ยิ่งอ้วน ส่วนปริมาณโซเดียมที่ควรได้รับต่อวันอยู่ระหว่าง 400-1,200 มิลลิกรัม ดังนั้นรับประทานแคบหมูไม่ว่าชนิดใด 1 ขีดก็ถือว่าเพียงพอแล้ว โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง ไม่ควรรับประทานมาก
การรับประทานแคบหมูแค่ 1 ขีด ได้ทั้งไขมันและโซเดียมเพียงพอแล้ว ที่พูดเรื่องนี้ไม่ได้ห้ามกินนะ แต่อยาก ให้กินอย่างมีสติ

กินอย่างมีศิลปะ และระวัง มิฉะนั้นความอร่อยจะมาพร้อมกับน้ำหนัก เพราะแคบหมูไร้มัน ไขมันไม่ได้ 0% อย่างที่คิด ยังมีไขมันอยู่ถึง 30% ดังนั้นควรเดินทางสายกลางในการรับประทานแคบหมู เช่น ในมื้อที่มีแคบหมู ควรรับประทานผักสดเป็นกับแกล้มด้วย เช่น แตงกวา ผักกาดแก้ว หรืออาจจะเป็นผักพื้นบ้านในแต่ละพื้นที่ที่หาได้ง่าย ขณะเดียวกันควรมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วย
ที่ทำการศึกษาเรื่องนี้เพราะอยากรู้ว่าแคบ หมูที่ชาวบ้านทำเป็นอย่างไร พอทำเสร็จก็นำผลการศึกษากลับไปสู่ชุมชน โดยเอาไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าแคบหมูเป็นอย่างนี้นะ เพราะสถานการณ์ในชุมชนขณะนี้ ชาวบ้านเป็นโรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูงเยอะขึ้น เราก็เข้าใจการค้าขาย

แต่การค้าขายก็ต้องคำนึงถึงเรื่องสุขภาพด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีทางออกไปแนะนำ ส่วนจะมีการปรับปรุงหรือไม่ขึ้นอยู่กับชาวบ้าน คือ ตรงนี้เป็นวัฒนธรรมชุมชน เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เราเข้าไปเพียงแต่บอกว่า ทำอย่างไรให้แคบหมูไขมันน้อยลงและโซเดียมน้อยลง อย่างแคบหมูติดมันแทนที่จะทอดก็เอาไปอบ คือ อาจจะต้องลงทุนเครื่องอบ แต่ลดต้นทุนค่าน้ำมันที่ทอด และลดปัญหาการใช้น้ำมันทอดซ้ำลงด้วย ส่วนรสเค็ม ก็ต้องปรับลดปริมาณโซเดียมลง วิธีการคือ จะต้องค่อย ๆ ปรับลดปริมาณลง เพราะถ้าปรับลดลงทันที คนอาจจะไม่กินเพราะรสชาติไม่อร่อย
สรุปผลจากการศึกษาครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคในการใช้เป็นข้อมูลเพื่อเลือกรับประทานแคบหมูให้เหมาะสมกับสุขภาพ ขณะเดียวกันยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แคบหมูให้เป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น แคบหมูอนามัย ที่มีปริมาณไขมันและโซเดียมต่ำ รวมถึงผลิตภัณฑ์เลียนแบบแคบหมู ที่ไม่ได้ทำจากหนังหมู มีไขมันและโซเดียมต่ำด้วย
ท้ายนี้คงต้องถามท่านผู้อ่านว่า วันนี้กินแคบหมูเกิน 1 ขีดแล้วหรือยัง?