วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

10 เมือง “น่าเที่ยวที่สุดในโลก” ประจำ 2010

เมืองเกวงกา (Cuenca) – สาธารณรัฐเอกวาดอร์

เมืองเกวงกา มีชื่อเรียกแบบเต็มๆ ว่า “Santa Ana de los cuatro ríos de Cuenca” เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับสามของประเทศเอกวาดอร์ (467,000 คน) ตั้งอยู่บนที่ราบสูงที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลถึง 2,500 เมตร หรือ 8,200 ฟุต

ในขณะที่เมืองส่วนใหญ่ของประเทศ เอกวาดอร์ มักได้รับอิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมมาจากสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ ในแถบอเมริกาใต้ แต่เมืองเกวงกากลับเต็มไปด้วยอาคารโบราณสไตล์สแปนิช โคโรเนียล ที่สร้างมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม

ด้วยเหตุนี้ องค์การยูเนสโกจึงประกาศให้ชุมชนโบราณย่านใจกลางเมืองเกวงกาเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ. 1999 (พ.ศ. 2542) และไม่เพียงสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี หากยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เมืองนี้มีความโดดเด่นและน่าสนใจ นั่นก็คือวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวเมืองนั่นเอง

ทุกวันนี้ ชาวเกวงกายังคงปิดร้านค้าในตอนบ่ายเพื่อนอนหลับพักผ่อน อันเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวสเปนตั้งแต่สมัยที่มี การล่าอาณานิคม ส่วนเด็กนักเรียนก็ยังคงหลีกทางให้แม่ชีหรือพระทุกครั้งที่พบเจอกันบนท้อง ถนน ซึ่งเป็นวิถีชีวิตที่ชาวตะวันตกเห็นแล้วรู้สึกประทับใจ

ถึงแม้จะถูกขนานนามว่าเป็นเมืองโบราณ แต่เกวงกายังเป็นบ้านของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีฝีมือในการผสมผสานเทคนิคใหม่ๆ เข้ากับวัฒนธรรมและงานช่างฝีมืออันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ หรือทักษะการทอผ้าพื้นเมืองที่ความละเอียดประณีต

โดยคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะนำงานหัตถกรรม ดังกล่าวมาออกแบบดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ทันสมัยอินเทรนด์ หรือเป็นภาชนะเครื่องถ้วยชามที่หรูหรามีสไตล์


เมืองซาราเยโว (Sarajevo) – ประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา

ซาราเยโว (Sarajevo) เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา ถ้าหากใครชอบเที่ยวเมืองเก่าแก่ที่มีศิลปวัฒนธรรมอันหลากหลาย ซาราเยโว นี่แหล่ะคืออีกหนึ่งจุดหมายที่ควรค่าแก่การไปเยือน

เพราะศิลปวัฒนธรรมและสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมืองซาราเยโว ได้รับอิทธิพลมาจาก 3 ยุคด้วยกัน คือ ยุคของจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเมืองซาราเยโวขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1450 หรือ พ.ศ. 1993 จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่บูรณะซ่อมแซมเมืองดังกล่าวขึ้นมาใหม่ หลังถูกจักรวรรดิออตโตมันที่พ่ายสงครามเผาทำลายจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และยุคที่อยู่ภายใต้การปกครองของยูโกสลาเวีย (หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 – ปี ค.ศ. 1990 ซาราเยโวเคยเป็นส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่บอบช้ำอย่างหนักทั้งจากสงครามโลกครั้งที่สอง และสงครามบอสเนีย

แต่หลังจากสงครามบอสเนียสิ้นสุดลง เมื่อปี ค.ศ. 1995 (พ.ศ. 2538) เมืองซาราเยโวก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ทันที กระทั่งปี ค.ศ. 2003 (พ.ศ. 2546) พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองดังกล่าวก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมและสร้างขึ้นใหม่ (ให้คล้ายของเดิม) จนแล้วเสร็จ คงเหลือเพียงอาคารเก่าแก่บางหลังที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 ที่ยังคงอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมตราบจนกระทั่งปัจจุบัน

แต่นอกจากเมืองโบราณแล้ว ซาราเยโวยังมีอาคารสำนักงานอันทันสมัยและตึกระฟ้าทั้งที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างและสร้างเสร็จแล้วมากมาย

ปัจจุบัน ซาราเยโว เป็นเมืองที่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สวยงาม และเป็นดินแดนแห่งวัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงมักถูกกล่าวถึงบ่อยครั้งในบทกวี บทประพันธ์ บทเพลง และยังเคยถูกใช้เป็นโลเกชั่นถ่ายทำภาพยนตร์ฮอลลีวูดอีกด้วย

เมืองอาบูดาบี (Abu Dhabi) – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

เมื่อเอ่ยถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คนส่วนใหญ่มักนึกถึงดูไบก่อนเป็นอันดับแรก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว เมืองที่มั่งคั่งและร่ำรวยน้ำมันของแท้ แถมยังเป็นเมืองหลวง ก็คือ เมืองอาบูดาบี นี่เอง

ครั้งหนึ่งอาบูดาบีเคยเป็นหมู่บ้านของ เกษตรกรและชาวประมง ซึ่งนอกจากจะปลูกพืชผัก เลี้ยงอูฐ และออกหาปลาแล้ว ยังมีอาชีพเก็บหอยมุก ทำให้อาบูดาบีกลายเป็นผู้ส่งออกไข่มุกรายใหญ่ ก่อนที่จะเริ่มมีการลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน หลังขุดพบบ่อน้ำมันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501)

ที่ผ่านมา อาบูดาบี เรียกตัวเองว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมประจำภูมิภาค” ทั้งนี้เนื่องจากมีการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ จากหลายชนชาติ อาทิ อิหร่าน อินเดีย ปากีสถาน ฯลฯ รวมทั้งวัฒนธรรมของชาติตะวันตก ทำให้มีโบสถ์คริสเตียน วัดฮินดู และศาสนสถานคุรุดวาราของศาสนาซิกข์ (วัดซิกข์) ตั้งอยู่เคียงข้างมัสยิดในเมืองอาบูดาบี

เนื่องจากมีความหลากหลายทางด้านเชื้อ ชาติและวัฒนธรรม รูปแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ ในเมืองอาบูดาบีจึงมีความหลากหลายเช่นกัน และที่โดดเด่นเห็นจะเป็น สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เช่น ตึกระฟ้า และมัสยิด Sheikh Zayed ที่ยิ่งใหญ่อลังการ (ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก) รวมทั้งโรงแรมเอมิเรตส์ พาเลซ ซึ่งเป็นของรัฐบาล แต่บริหารงานโดยเชนโรงแรมจากประเทศเยอรมนี

นอกจากนี้ อาบูดาบียังเป็นเมืองที่มักจัดเทศกาลหรือนิทรรศการนานาชาติต่างๆ อาทิ งานแสดงผลงานทางด้านศิลปะ ดนตรีคลาสสิก เพลงแจ๊ส ฯลฯ เป็นประจำทุกปีอีกด้วย

ถึงแม้จะถูกขนานนามว่าเป็นเมืองโบราณ แต่เกวงกายังเป็นบ้านของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ และมีฝีมือในการผสมผสานเทคนิคใหม่ๆ เข้ากับวัฒนธรรมและงานช่างฝีมืออันเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ไม่ว่าจะเป็นกรรมวิธีการผลิตเครื่องปั้นดินเผาแบบโบราณ หรือทักษะการทอผ้าพื้นเมืองที่ความละเอียดประณีต

โดยคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะนำงานหัตถกรรม ดังกล่าวมาออกแบบดัดแปลงใหม่ให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นที่ทันสมัยอินเทรนด์ หรือเป็นภาชนะเครื่องถ้วยชามที่หรูหรามีสไตล์

เมืองเกียวโต (Kyoto) – ประเทศญี่ปุ่น

ความสวยงามของเมืองเกียวโต แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเมืองในแถบตะวันตก อาทิ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และกรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี ที่สถาปัตยกรรมต่างๆ ภายในเมืองล้วนเป็นเสมือนผลงานทางด้านศิลปะที่สวยสดงดงาม

หากความสวยงามที่แท้จริงของเมืองเกียวโตนั้น กลับซ่อนอยู่หลังประตูวัด กำแพงสวน บานเลื่อนกระดาษ หรืออาจซุกซ่อนอยู่ภายใต้คำพูดที่พูดออกมาตามมารยาท (ทะเตะมาเอะ “tatemae” – ไม่ได้พูดตรงๆ ตามที่คิดหรือรู้สึกจริงๆ ) ของชาวเมือง

เมื่อใดก็ตามที่นักท่องเที่ยวค้นพบความงามที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน ก็จะรู้ความลับของเมืองเกียวโตที่มักเปิดเผยความจริงให้เห็นตรงหน้าเพียงแค่ 1 ส่วน แต่กลับซุกซ่อนเอาไว้ให้ค้นหาถึง 9 ส่วน ทั้งในแง่ของสถานที่ท่องเที่ยวและสไตล์การพูด ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ชาวต่างชาติจำนวนหนึ่งมองว่าคนญี่ปุ่นชอบพูดโกหก ซึ่งก็คือการพูดตามมารยาท หรือ “ทะเตะมาเอะ” นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเมืองเกียวโตของประเทศญี่ปุ่น เป็นหนึ่งในเมือง “โรแมนติกที่สุดในโลก” จริงๆ

ที่นั่นคุณจะได้พบกับโคมไฟเรียงราย ตลอดสองฟากฝั่งคลองซึ่งเต็มไปด้วยอาคารไม้เก่าแก่ ได้นั่งทานอาหารบนเสื่อตาตามิในห้องส่วนตัวพลางชื่นชมสวนสวยในเวลาเดียวกัน อีกทั้งยังได้แช่น้ำในอ่าง (ไม้) รวมของเรียวกัง(ที่พักแบบญี่ปุ่นขนานแท้) และจะได้รู้ว่าทำไมนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงขนานนามชุด “ยูกาตะ” (ชุดผ้าฝ้ายที่ทางเรียวกังจัดไว้ให้ใส่ขณะอยู่ในห้อง) ว่าเป็นชุดสุดโรแมนติกของจริง – โลนลี่ แพลนเน็ต

จังหวัดเลกเซ (Lecce) แคว้นปูเกลีย – ประเทศอิตาลี

แม้ว่าวิกฤติเศรษฐกิจและค่าเงินที่ ผันผวน จะทำให้การเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศอิตาลีแพงขึ้นสำหรับนักท่องเที่ยว ต่างชาติส่วนใหญ่ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ขอย้ำว่า “เลกเซ” เป็นอะไรที่ห้ามพลาดถ้าหากคุณมีโอกาสเดินทางไปเยือนอิตาลี

เป็นที่รู้กันดีว่า “อิตาลี” เป็นอีกหนึ่งในประเทศที่มีความสวยงาม ถึงแม้จะแพงหูฉี่แต่ “โลนลี่ แพลนเน็ต” เขาก็มีวิธีไปเที่ยวโดยไม่ทำให้กระเป๋าเงินแฟบมาแนะนำ นั่นก็คือการมุ่งหน้าไปยังเมืองที่เที่ยวแล้วคุ้มค่าเงินมากกว่า ค่าครองชีพต่ำกว่า และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย

จุดหมายปลายทางที่ว่าก็คือ “แคว้นปูเกลีย” ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี และเมืองที่สวยงามที่สุดในแคว้นนี้ก็คือ เมือง “เลกเซ” ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเลกเซ นั่นเอง…”เลกเซ” เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2 พันปี ด้วยความที่ภายในเมืองเต็มไปด้วยโบราณสถานสไตล์บารอค จึงทำให้ได้รับฉายาว่าเป็น “เมืองฟลอเรนซ์แห่งแดนใต้”

ถึงแม้จะเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีประชากร ไม่ถึง 1 แสนคน แต่เลกเซก็ขึ้นชื่อในเรื่องของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออก “หินเลกเซ” ซึ่งเป็นหินปูนคุณภาพเยี่ยมและเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของเมือง (เหมาะสำหรับนำมาใช้ในงานประติมากรรม) อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมเซรามิกอีกด้วย

นอกจากนี้ เลกเซ ยังเป็นศูนย์กลางทางด้านเกษตรกรรมที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกมะกอกและองุ่นเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำมันมะกอกและไวน์

เมืองคอร์ก (Cork) – สาธารณรัฐไอร์แลนด์

คอร์ก เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสาธารณรัฐไอร์แลนด์… ด้วยความที่เป็นเมืองซึ่งมีชนชาติต่างๆ อพยพเข้ามาอยู่มากมาย ทำให้มีการผสมผสานด้านวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทั้งจากยุโรปตะวันตก โดยเฉพาะ ฝรั่งเศส สเปน ฯลฯ และจากยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ ลิธัวเนีย ลัตเวีย สโลวาเกีย ฮังการี เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ คอร์ก จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป เมื่อปี ค.ศ. 2005 (พ.ศ. 2548)

คอร์ก ยังเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวาและเต็มไปด้วยสีสัน ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา ศิลปะ หรือความบันเทิงต่างๆ เห็นได้จากการที่มีแกลลอรี่ใหม่ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด อีกทั้งยังมี เทศกาลศิลปะ การแสดงดนตรี โอเปร่า เต้นรำ บทกวี ภาพยนตร์ ฯลฯ ให้ชมมากมาย ทั้งยังมีบาร์และร้านอาหารนานาชาติให้เลือกรับประทานกันอย่างหลากหลายอีก ด้วย

สาธารณรัฐสิงคโปร์

สิงคโปร์ ประกอบด้วยเกาะสิงคโปร์และเกาะใหญ่น้อยบริเวณใกล้เคียง 63 เกาะ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้น 682.7 ตารางกิโลเมตร (ประมาณเกาะภูเก็ต) เกาะสิงคโปร์เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีความยาวจากทิศตะวันตกไปตะวันออก ประมาณ 42 กิโลเมตร และความกว้างจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ประมาณ 23 กิโลเมตร

โลนลี่ แพลนเน็ตระบุว่า สิงคโปร์เป็นแดนสวรรค์สำหรับนักชิม เนื่องจากมีอาหารการกินให้เลือกมากมายตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และที่น่าประทับใจก็คือ ถึงแม้ว่าสิงคโปร์จะเป็น ประเทศที่มีประชากรหนาแน่นและมีขนาดเล็กที่สุดในภูมิภาค แต่ก็เต็มไปด้วยพื้นที่สีเขียว ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ สวนพฤกษชาติ ป่าสงวน และอ่างเก็บน้ำที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย เป็นต้น

เมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) – แคนาดา

แวนคูเวอร์ เป็นเมืองที่มักติดอันดับต้นๆ ทุกครั้งที่มีการจัดอันดับ “เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก” และในปีนี้ แวนคูเวอร์ ได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวและพาราลิมปิก ซึ่งจะมีผู้คนหลั่งไหลเข้าไปชมการแข่งขันเป็นจำนวนมาก

แต่ถึงจะไม่มีการแข่งขันกีฬาระดับโลก ก็ยังมีอีกหลายเหตุผลที่สมควรไปเยือนแวนคูเวอร์สักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอากาศอันบริสุทธิ์ น้ำใสสะอาด วิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการถ่ายทำภาพยนตร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสาม ของอเมริกาเหนือ

ที่สำคัญ ปัจจุบันแวนคูเวอร์มีบูติกโฮเต็ลใหม่ๆ ของบรรดาดีไซเนอร์ ร้านค้าสไตล์อินดี้ และบาร์ ไว้คอยเอาใจนักท่องเที่ยวหลายแห่งด้วยกัน

และถ้าออกจากสนามบินเมื่อไหร่ อย่าลืมใช้บริการรถไฟความเร็วสูงสายใหม่ “Canada Line” ที่เพิ่งเปิดบริการเมื่อกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาด้วยล่ะ…จะได้ทันสมัย ไม่ตกเทรนด์ (อันนี้โลนลี่ แพลนเน็ตเขาแนะนำมา)

เมืองอิสตันบูล (Istanbul) – สาธารณรัฐตุรกี

อิสตันบูล เดิมชื่อ คอนสแตนติโนเปิล เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในประเทศตุรกี ตั้งอยู่บริเวณช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus) ซึ่งทำให้อิสตันบูลเป็นเมืองสำคัญเพียงเมืองเดียวในโลก ที่ตั้งอยู่ใน 2 ทวีป คือ ทวีปยุโรป (ฝั่ง Thrace ของบอสฟอรัส) และทวีปเอเชีย (ฝั่งอนาโตเลีย)

ถึงแม้อิสตันบูลจะไม่ใช่เมืองหลวงของประเทศตุรกี (เมืองหลวงของประเทศตุรกี คือ อังการา) แต่ในอดีตอิสตันบูลเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิไบแซนไทน์เป็นเวลานานกว่า 1,100 ปี หลังจากนั้นก็เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิออตโตมันอีกราว 400 ปี และล่าสุด อิสตันบูล เพิ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมของยุโรป ประจำปี 2010″

เพื่อให้สมกับตำแหน่งเมืองหลวงแห่ง วัฒนธรรม อิสตันบูล จึงได้จัดเตรียมกิจกรรมและการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ไว้ล่อใจนักท่องเที่ยวมากมายตลอดทั้งปี และจะมีการจัดเทศกาลภาพยนตร์เพื่อดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วโลกอีกด้วย

เมืองชาร์ลสตัน (Charleston) รัฐเซาธ์ แคโลไรนา – สหรัฐอเมริกา

โลนลี่ แพลนเน็ต ระบุว่า ถ้าหากเปรียบเมืองชาร์ลสตันเป็นหญิงสาว เธอจะเป็นผู้หญิงที่มีรูปร่าง หน้าตาสะสวย สวมชุดสีขาว (ได้รับฉายาว่าเป็น Holy City เพราะมีโบสถ์เก่าแก่มากมาย) มีดอกไม้แซมอยู่บนเส้นผม มาจากตระกูลที่มั่งคั่ง มีกิริยามารยาทเรียบร้อยงดงาม (ชาร์ลสตัน ได้รับเลือกให้เป็น “เมืองมารยาทดีที่สุดในอเมริกา” เป็นเวลา 11 ปีติดต่อกัน) และจบการศึกษาทางด้านศิลปะของชนชั้นสูงในทุกแขนง

แม้ว่าออกจะดูเลิศเลอเพอร์เฟ็คเกินไปสักหน่อย แต่เมืองชาร์ลสตันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ และแม้จะมีแบบแผน อีกทั้งยังเป็นเมืองเก่าแก่ แต่ชาร์ลสตันก็ไม่หัวโบราณคร่ำครึหรือยึดติดกับอดีต เพราะล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ เมืองดังกล่าวเพิ่งจัดเทศกาลอาหารและไวน์สุดฮิพ และเพิ่งเปิดตัวงานแฟชั่นวีคสุดร้อนแรงไปหมาดๆ

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบการ ช้อปปิ้งริมถนน รับรองว่าชาร์ลสตันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง เพราะถนนด้านตะวันออกเฉียงใต้ของวิทยาลัยชาร์ลสตัน เต็มไปด้วยร้านขายของนานาชนิด เรียกว่ามีแทบทุกอย่างให้เลือกสรร นับตั้งแต่รองเท้าบู๊ทคาวบอยโบราณขนานแท้ ไปจนถึงกาน้ำชาสีสันสดใสสไตล์ป๊อปอาร์ต เลยทีเดียว


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น